วิธีการทำให้ Firefox มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น

Download Astro
Download Astro
27 พฤษภาคม 2022

 

เบราว์เซอร์ Firefox ได้รับพัฒนาขึ้นมาโดยมูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไร Mozilla มันเป็นเบราว์เซอร์ที่มีชื่อเสียงทางด้านดีในหมู่ผู้รักความเป็นส่วนตัว Firefox ได้รับคำบอกกล่าวว่าเป็นเบราว์เซอร์ที่มีความแข็งแกร่งซึ่งให้ความเคารพข้อมูลของคุณ ทั้งนี้ทางมูลนิธิได้ประกาศจุดขายหนักไปในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ซึ่งได้มีการกล่าวไว้ตั้งแต่แรกเลยว่า “พวกเรา Mozilla เชื่อว่าความเป็นส่วนตัวคือพื้นฐานสำคัญของอินเทอร์เน็ตที่ดี” และมันก็คุ้มค่าที่รับรู้ว่า Mozilla ได้พยายามเป็นอย่างมากที่จะรักษาความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อรักษาชื่อเสียงที่แจ่มจรัสของพวกเขาเอาไว้ ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลักของพวกเขา นั่นคือ Google (นักพัฒนาเบราว์เซอร์ของ Google Chrome) ที่มักจะพัวพันอยู่กับเรื่องอื้อฉาวด้านความเป็นส่วนตัวและการเมืองอยู่เรื่อย ๆ และได้เพิ่มพูนชื่อเสียงไปในทางที่น่าผิดหวังในเรื่องของการรับผิดชอบต่อข้อมูล

นอกเหนือจากคุณลักษณะเด่นดั่งกล่าวยังมีสิ่งที่ดีกว่าให้ลองทำ นั่นคือเราสามารถปรับเปลี่ยน Firefox เพื่อสร้างระดับความเป็นส่วนตัวที่ดียิ่งกว่า แค่เพียงทำการปรับแบบง่าย ๆ เท่านั้น ก็จะสามารถปรับปรุงประสบการณ์ทั้งทางออนไลน์และในคอมพิวเตอร์ของคุณให้ดีกว่าได้

ตั้งค่าเริ่มต้นแก่ผู้ให้บริการค้นหา (search provider)

หลังจากที่ Firefox ได้หยุดชะงักการร่วมมือกับ Yahoo พวกเขาก็หันมาใช้ Google เป็นค่าเริ่มต้นใน search engine อีกครั้ง และเนื่องจาก Google นั้นได้กระทำการลุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ search engine เจ้าอื่นที่ให้ความสำคัญทางด้านความเป็นส่วนตัว เช่น DuckDuckGo หรือ StartPage เป็นการกระทำที่ช่วยเพิ่มการปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณได้มากขึ้น หากต้องการเปลี่ยน search engine คุณสามารถไปที่ เมนู > ค้นหา > Search Engine เริ่มต้น และยังมีอีกทางหนึ่งที่จะสามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งค่อนข้างซับซ้อนพอกัน คือคุณต้องคลิกที่ปุ่ม “Search Engines / หา search engine เพิ่ม” ที่อยู่ตรงด้านล่าง ซึ่งจากตรงนี้คุณจะสามารถตั้งรายการ search engine ที่คุณต้องการใช้งานจริง ๆ

แต่ขอให้ตระหนักว่า Firefox จะคอยเปลี่ยน search engine กลับไปเป็นเจ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศของคุณเป็นบางคราว ซึ่งก็หนีไม่พ้น Google อีกนั่นแหละ แต่เราก็สามารถป้องไม่ให้มันเปลี่ยนได้โดยไปที่ เมนู > ตัวเลือก > ทั่วไป > อนุญาตให้ Firefox กระทำการ: จากนั้นให้เลิกทำเครื่องหมายถูกที่ตัวเลือกหัวข้อ “อัปเดต search engine โดยอัตโนมัติ”

 

การอัปเดต

ในระหว่างที่คุณกำลังวุ่นอยู่กับการอนุญาตของเครื่องมือค้นหาตามที่ได้อธิบายไว้ด้านบน คุณจะเห็นตัวเลือกการอัปเดตแบบอัตโนมัติตรงแผงข้าง ๆ ขณะที่บางคนเชื่อว่าการปิดอัปเดตแบบอัตโนมัตินั้นจะเพิ่มความเป็นส่วนตัว แต่เราต้องเน้นย้ำความจริงที่ว่า มันจะเป็นการเปิดทางเบราว์เซอร์ของคุณให้แก่การโจรกรรมข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเป็นการเปิดช่องโหว่แก่การจู่โจมในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณอนุญาต Firefox ทำการอัปเดตตัวมันเองโดยอัตโนมัติ

 

การวัดและส่งข้อมูลทางไกล

Firefox หลายรุ่นที่ผ่านมาล่าสุดนี้มีการตั้งค่าเริ่มต้นตัวมันเองให้ติดตามข้อมูลปฏิสัมพันธ์ในเบราว์เซอร์ของคุณ และเลยไปถึงการติดตั้งและทำการวิจัยบนอุปกรณ์ของคุณ ทั้งนี้ การเข้าร่วมโครงการของ Firefox เพื่อที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถทดลองฟีเจอร์ใหม่ ๆ และได้รู้ว่าลูกค้าใช้เบราว์เซอร์ของพวกเขาอย่างไรย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ยอมรับเถอะว่าข้อมูลใด ๆ ที่ออกจากอุปกรณ์ของคุณเป็นกิจวัตรนั้นย่อมเป็นตัวแสดงถึงความเปราะบาง และแม้ว่ามันจะเป็นการไม่ระบุตัวตนอย่างที่ Firefox ได้อ้างไว้ก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เราขอแนะนำให้เอาค่าเริ่มต้นนี้ออกไป โดยไปที่ เมนู > ตัวเลือก > ความเป็นส่วนตัว & ความปลอดภัย > การเก็บและใช้ข้อมูลของ Firefox แล้วจึงทำการยกเลิกตัวเลือกทั้งหมด ทั้งนี้ คุณก็ยังสามารถยกเลิกตัวเลือกรายงานสุขภาพและการขัดข้องของเบราว์เซอร์ (browser health and crash reports) ได้ที่นี่

 

เว็บไซต์แนะนำในแท็บใหม่
 

Firefox ได้ยกเลิกการใส่โฆษณาท่ามกลางรายการแนะนำเว็บไซต์ (บางครั้งเรียกว่า “รายการแผ่เรียงกัน”) ที่ปรากฏเมื่อคุณเปิดแท็บใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงให้การแนะนำอะไรบางอย่าง ส่งคำร้องขอข้อมูลผ่านเครือข่าย (fetch requests) ซึ่งเพิ่มเวลาการโหลดและใช้แบนด์วิธจำนวนมาก และหากคุณต้องการปิดคุณลักษณะนี้เพื่อให้เปิดแท็บใหม่ออกมาเป็นหน้าว่าง คุณสามารถใช้ไอคอนรูปเฟืองที่อยู่ตรงส่วนด้านบนขวามือเพื่อยกเลิกตัวเลือก “แสดงเว็บไซต์ที่ใช้บ่อย” และ “แสดงเว็บไซต์แนะนำ” การกระทำเช่นนี้ยังสามารถช่วยปกป้องคุณจากบุคคลที่เฝ้าสอดส่องคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อดูเว็บไซต์ที่คุณมักเข้าไปใช้งานอยู่บ่อยครั้งได้ด้วย

 

ความปลอดภัยแบบ Local security

ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าการคุกคามความเป็นส่วนตัวนั้นไม่ได้มาจากทางออนไลน์ทั้งหมด ในบางครั้ง การป้องกันความเป็นส่วนตัวของคุณจากเพื่อนร่วมงาน ผู้มาเยี่ยม หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวที่ชอบสอดแนมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และวิธีอันแสนเรียบง่ายที่จะทำให้มั่นใจได้ถึงความเป็นส่วนตัวในกรณีนี้คือการไปที่ เมนู > ความเป็นส่วนตัว > ประวัติ และเลือก “ล้างประวัติเมื่อปิด Firefox” และ/หรือ “ใช้โหมดเบราว์เซอร์ส่วนตัวทุกครั้ง” อย่างไรก็ตาม ขอให้คุณตระหนักไว้ว่าการกระทำนี้จะทำให้ประสบการณ์การท่องเว็บของคุณเป็นเรื่องที่อาจสร้างความรำคาญมากกว่าเก่า เพราะคุณจะไม่สามารถทำการลงชื่อเข้าใช้งานเว็บต่าง ๆ อย่างถาวร ไม่สามารถบันทึกรหัสผ่าน แบบฟอร์ม และบัตรต่าง ๆ รวมถึงการค้นหาก่อนหน้าด้วย การตั้งค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเว็บไซต์จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่าย เมื่อคุณจำเป็นต้องตั้งค่าใหม่ในทุก ๆ ครั้งที่คุณเปิดเบราว์เซอร์ใหม่และเข้าไปเยี่ยมเว็บต่าง ๆ ซึ่งจะเริ่มขึ้นจากการที่คุณจะได้รับการแจ้งเตือนคุกกี้อยู่ตลอดเวลา

 

คำร้องป้องกันการติดตามของเว็บไซต์ (‘Do not track’ requests)

ในอดีต คำร้อง ‘do not track’ เคยเป็นเครื่องมือป้องกันความเป็นส่วนตัวที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ปัจจุบันนี้บริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทได้เพิกเฉยต่อคุณลักษณะนี้ โดยเริ่มจาก Google Analytics ที่มีการติดตามมาตลอด และในการปิดกั้นการติดตามของเว็บลักษณะนี้ คุณจะต้องใช้ส่วนขยาย อย่าง Ghostery, uBlockOrigin หรือ AdBlockPlus และสำหรับบางเว็บไซต์ที่ยังคงได้สิทธิ์คำขอดังกล่าว คุณสารมารถเข้าไปตั้งค่าที่ เมนู > ตัวเลือก > ความเป็นส่วนตัว & ความปลอดภัย > การป้องกันการติดตาม

 

ส่วนขยายและลายนิ้วมือเบราว์เซอร์
 

หัวข้อนี้สมควรที่จะได้รับการวิเคราะห์เชิงลึก แต่ใจความสำคัญของแต่ละเบราว์เซอร์นั้นล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองในบางเรื่อง แม้ว่าคุณจะไม่ค่อยได้ทำการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าอะไรมากมายเลยก็ตาม ทั้งนี้ ยิ่งคุณกำหนดค่าเบราว์เซอร์หรือใช้ส่วนขยายมากเท่าไหร่ ก็ทำให้มันสามารถคุกคามคุณด้วยป้ายลายนิ้วมือเบราว์เซอร์มากขึ้นเท่านั้น และนี่คือกลไกการติดตามภายในที่เว็บไซต์ต่าง ๆ นำมาใช้เพื่อติดตามคุณไปทุกที่ โดยที่ไม่ต้องเก็บคุกกี้ไว้ในอุปกรณ์ของคุณเลย

 

การตั้งค่า Config

ดูเผิน ๆ รูปลักษณ์ที่เป็นรหัสของ การตั้งค่า Config ค่อนข้างจะทำให้เราประหม่าอยู่เหมือนกัน แต่การตั้งค่า Config จะให้เครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อนำมาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเบราว์เซอร์ Firefox แก่คุณ เพียงพิมพ์ about:config ลงในแถบ URL เพื่อเข้าถึงการตั้งค่าเหล่านี้ และยืนยันคำเตือนที่ปรากฏขึ้นว่า “I accept the risk” การกำหนดค่าต่าง ๆ จะปรากฏเรียงกันตามลำดับตัวอักษร และคุณสามารถค้นหาได้โดยการพิมพ์ชื่อย่อ ๆ หรือชื่อเต็มของค่าที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลงลงไปที่แถบค้นหา ทั้งนี้ หัวข้อที่มีความสำคัญมากที่สุดบางประการที่ควรตรวจดูมีดังนี้:

network.cookie.cookieBehavior เป็นการตั้งค่าเลขจำนวนเต็มที่ควบคุมการยอมรับคุกกี้ของเบราว์เซอร์คุณ ซึ่งมันสามารถนำหนึ่งในค่าตามด้านล่างมาใช้:

0 –ยอมรับคุกกี้ทั้งหมดเป็นค่าเริ่มต้น
1 –ยอมรับเฉพาะคุกกี้ที่มีต้นกำเนิดมาจากเว็บไซต์ที่เปิด (ปิดกั้นคุกกี้จากเว็บไซต์บุคคลที่ 3)
2 – ปิดกั้นคุกกี้ทุกชนิดเป็นค่าเริ่มต้น

การตั้งค่าความปลอดภัยอย่างสมเหตุสมผลด้วยข้อที่มีรหัสเลข 1 จะทำงานคล้าย ๆ กับการปิดกั้นส่วนขยายคุกกี้ที่อธิบายไว้ด้านบน

media.peerconnection.enabled (WebRTC) อนุญาตให้มีการสื่อสารแบบเสียงและวิดีโอผ่านทางเบราว์เซอร์ของคุณ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไรหากคุณจะใช้การตั้งค่านี้ อย่างไรก็ตาม เพียงเพราะว่ามันมีอยู่ สิ่งเหล่านี้สามารถเปิดที่อยู่ IP ของคุณให้แก่ผู้ที่คอยสอดแนมได้ แม้ว่าคุณจะใช้ VPN ก็ตาม! แนะนำให้ตั้งมันเป็นค่า “false” เพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

media.navigator.enabled อนุญาตให้เว็บไซต์สอบถามเกี่ยวกับการติดตามและสถานะกล้องถ่ายรูปในอุปกรณ์ของคุณ แนะนำให้ตั้งค่ามันเป็น “false” เพื่อป้องกันคำขอนี้
 

network.dns.disablePrefetch แก้ปัญหาเบราว์เซอร์ร้องขอชื่อโดเมนในแง่ที่จะเป็นการช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ และทำเวลาโหลดหน้าต่าง ๆ ได้ดีขึ้น แต่มันก็สามารถถูกแฮกเกอร์นำไปใช้ในการกู้คีย์เข้ารหัสลับจากแคชในอุปกรณ์ของคุณ และขโมยข้อมูลสำคัญได้ แนะนำให้ตั้งมันเป็นค่า “true” เพื่อป้องกันการกระทำนี้

แม้ว่า Firefox จะเป็นเบราว์เซอร์ที่ยอดเยี่ยมและให้ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยที่กว้างขวางครอบคลุม เราก็ขอให้คุณนึกไว้เสมอว่าอย่างไรเสียเบราว์เซอร์ดังกล่าวนี้ก็ไม่ได้มีเกราะกันกระสุน ดังนั้น เราขอแนะนำให้คุณใช้มันควบคู่ไปกับ VPN ที่มีชื่อเสียงในการปกปิดที่อยู่ IP ของคุณ พร้อมส่งมอบความไร้ตัวตนอย่างเต็มที่เวลาท่องโลกอินเทอร์เน็ต