เหตุผลที่คุณจำเป็นต้องใช้ VPN ที่ให้ความช่วยเหลือด้าน IPv6

Download Astro
Download Astro
29 พฤษภาคม 2022

 

เมื่อกล่าวถึงอินเทอร์เน็ต ก็มักมีเรื่องราวหลายอย่างมากมายเข้ามาในความคิดของคุณ และความคิดเหล่านั้นก็มักขึ้นอยู่กับความชอบ การงาน งานอดิเรกของคุณและเรื่องอื่น ๆ ยิบย่อย หากแต่มีบางเรื่องในวงการนี้ที่เมื่อก่อนนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ว่ามันเป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจมากขึ้นทุกวัน นั่นคือปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวเมื่อท่องโลกอินเทอร์เน็ต
เนิ่นนานเข้าก็เริ่มมีข่าวมากมายพูดถึงเรื่องการขโมยข้อมูล บัญชีถูกโจรกรรม และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโดนผู้ใช้รายอื่นที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาเฝ้าดูและแทรกแซงการใช้อินเทอร์เน็ตของพวกเขา และสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนหันมาตระหนักถึงการเพิ่มความปลอดภัยรัดกุมในระหว่างที่พวกเขากำลังท่องโลกออนไลน์
มีวิถีทางหลากหลายรูปแบบที่คุณจะสามารถรักษาความปลอดภัยรัดกุมทางออนไลน์ หรือท่องโลกอินเทอร์เน็ตไปได้โดยไม่ระบุตัวตน นับจากวิธีการใช้โปรแกรมการค้นหาและเซิร์ฟเวอร์พร็อกซีแบบเป็นส่วนตัว ไปจนถึงการใช้ VPN ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่มีความรัดกุมที่สุด
สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก เครือข่ายส่วนตัวเสมือน ( Virtual Private Network: VPN) เป็นเครือข่ายเสมือนกับเครือข่ายพื้นที่ท้องถิ่นส่วนตัวของคุณ ซึ่งจะขยายไปทั่วเครือข่ายสาธารณะ หรืออินเทอร์เน็ตนั่นเอง ทั้งนี้ VPN จะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้อย่างไม่ระบุตัวตนโดยที่ข้อมูลของคุณจะถูกเข้ารหัสไว้ ในปัจจุบันนี้มีบริการ VPN หลากหลายเจ้าให้เลือกใช้ ยกตัวอย่างเช่น Tunnelbear (เป็นบริการฟรี) ExpressVPN และ NordVPN ซึ่งเป็นบริการที่ได้รับการแนะนำให้ใช้เป็นอย่างมาก
แต่คุณรู้หรือไม่ แม้ว่าคุณจะใช้ VPN แล้ว มันก็ยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี
อุปกรณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ คอนโซลเกม ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตล้วนมีที่อยู่ IP (Internet Protocol) เป็นของตัวมันเองทั้งสิ้น โดยปรกติแล้วข้อมูลใด ๆ ที่ถูกส่งผ่านไปยังอินเทอร์เน็ตจะมีที่อยู่ IP สองรายการ อันแรกจะเป็นที่อยู่ของผู้ส่ง และอีกอันเป็นที่อยู่ของผู้รับ ทำให้ที่อยู่ IP เป็นสิ่งสำคัญมากเหลือเกิน เพราะมันเป็นตัวบอกถึงอุปกรณ์ที่ใช้ส่งและรับข้อมูล พร้อมบอกตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของอุปกรณ์นั้น ๆ (หรือผู้ใช้อุปกรณ์) ด้วย
อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนี้ส่วนมากใช้โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ 4 (IPv4) ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 แล้ว โปรโตคอลนี้เป็นระบบที่อยู่ IP ที่ใช้เลขทศนิยม 32-บิต (หน้าตาเป็นแบบนี้ 207.220.167.67)
ด้วยในปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น ต้องยกความดีความชอบให้แก่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ และบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่เป็นเจ้าของที่อยู่IP ที่ยังไม่มีใครนำไปใช้ และในตอนนี้ที่อยู่ IP กำลังจะหมดไปจากโลกแล้ว
และเรื่องดังกล่าวเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ระบบ IPv6 ซึ่งเป็นระบบที่ใช้รุ่น 128-บิต ที่ยาวกว่า และในการเปลี่ยนมาใช้ระบบ IPv6 นั้น ทำให้ที่อยู่ IP สำรองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างล้นหลาม หากจะให้บอกจำนวน บอกได้แค่ว่ามันจะไม่หมดไปในเร็ววันนี้แน่ และนี่คือหน้าตาของที่อยู่ IPv6: 2001:0db8:0000:0042:0000:8a2e:0370:7334
 
หากแต่ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีต่ออินเทอร์เน็ต มันกลับก่อปัญหาให้เกิดแก่บริการ VPN บางเจ้า ตั้งแต่ที่ IPv6 จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์เซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ใหม่นั้น มันก็มีราคาแพงขึ้นและได้รับการใช้งานน้อยลง สิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้ VPN ส่วนใหญ่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และอัปเดตเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างล่าช้า ทั้งนี้ การอัปเกรดเซิร์ฟเวอร์นั้นมักมีค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งก็หมายความได้ว่าบริการ VPN ส่วนใหญ่ที่มีเซิร์ฟเวอร์คุณภาพดีที่รองรับ IPv6 จะลดน้อยลงไป
เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณอย่างไร แล้วทำไมคุณต้องคำนึงเกี่ยวกับ VPN ที่รองรับ IPv6
1. คุณอาจจะมีความเสี่ยง
หากคุณใช้ที่อยู่ IPv6 และก็ใช้ VPN ร่วมด้วย โดยเฉพาะถ้าหาก VPN ที่ใช้เป็นบริการฟรีหรือมีราคาถูก มีแนวโน้มได้ว่าที่อยู่ IP ของคุณนั้นไม่ปลอดภัย ทั้งนี้ โอกาสที่ที่อยู่ IP ของคุณจะรั่วไหลนั้นเป็นไปได้สูงมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าผู้ให้บริการ VPN ของคุณไม่ได้อัปเกรดเซิร์ฟเวอร์ของพวกเขาให้ตรงตามเกณฑ์ของที่อยู่ IPv6 หรือผู้ให้บริการ VPN อาจจะปิดการจราจร IPv6 ภายใน VPN นั้น ทุกวันนี้คุณอาจจะเห็นแล้วว่ารายชื่อผู้บริการ VPN ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของคุณนั้นเพิ่มขึ้นอยู่ตลอด และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คุณจำเป็นต้องใช้ VPN ที่รองรับ IPv6
 
2. เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการโจมตีโดยวิธี DNS hijacking
เมื่อเวลาผ่านไปจึงมีการค้นพบว่าผู้บริการ VPN ส่วนใหญ่ที่ได้ประสบกับการรั่วไหลของที่อยู่ IP จะมีความเปราะบางต่อการโจมตีที่อยู่ IPv6 โดยวิธี DNS hijacking ด้วย ซึ่งเรื่องนี้สามารถเชื่อมโยงไปถึงความจริงที่ว่า VPN ส่วนใหญ่ไม่เปิดทางจราจรให้แก่ที่อยู่ IPv6
เนื่องจากเรื่องนี้เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มันได้สร้างปัญหาให้แก่ผู้ใช้ VPN มามากเกินรับได้แล้ว มีผู้ให้บริการ VPN หลายเจ้าได้เล็งเห็นว่าพวกเขาสมควรที่จะรวมคุณลักษณะที่เป็นมิตรต่อที่อยู่ IPv6 เพื่อการปกป้องความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ทั้งนี้ VPN บางเจ้า เช่น ExpressVPN และ NordVPN สามารถจัดการกับการจราจรของที่อยู่ IPv6 ได้ ส่วนเจ้าอื่น ๆ มักแจ้งให้ผู้ใช้ปิดการจราจรของที่อยู่ดังกล่าวเพื่อป้องกันการรั่วไหลของที่อยู่ IP
 
3. เพื่อให้สามารถเพลิดเพลิดไปกับความเป็นอิสระทางออนไลน์
ผู้คนหันมาใช้ VPN ด้วยเหตุผลหลายประการ
เมื่อคุณเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ต่าง ๆ คุณมักจะทิ้งรอยเท้าทางดิจิทัลเอาไว้ที่เว็บไซต์เหล่านั้นในรูปแบบของที่อยู่ IP และแฮกเกอร์สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณ ซึ่งการกระทำนี้อาจจะนำไปสู่การโจรกรรมรหัสผ่านต่าง ๆ ได้ แต่การใช้ที่อยู่ที่ทางผู้ให้บริการ VPN จัดให้มาแทนที่อยู่ IP ของคุณ จะทำให้คุณสามารถปกป้องความเป็นตัวตนของคุณและจึงเป็นการท่องโลกอินเทอร์เน็ตแบบไม่ระบุตัวตนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้บริการ VPN เพื่อการเพลิดเพลินไปกับเนื้อหาต่าง ๆ ที่ได้ถูกจำกัดไว้ แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลย หากคุณไม่ได้ใช้ VPN ที่รองรับที่อยู่ IPv6 และตามที่ได้กล่าวไว้ในกรณีแรก การที่ที่อยู่ IP ที่แท้จริงของคุณหลุดรั่วออกมาได้นั้นอาจหมายถึงกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตบางส่วน (หากไม่ใช่ทั้งหมด) อาจเสี่ยงที่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ไม่ประสงค์ดี ซึ่งจะพาคุณให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย แต่หากคุณใช้ VPN ที่รองรับที่อยู่ IPv6 แล้วล่ะก็ มันจะการันตีความเป็นอิสระทางออนไลน์ให้คุณได้อย่างแน่นอน
อย่างที่รู้กันว่า VPN ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้รองรับการเชื่อมต่อ IPv6 ดังนั้น หากคุณต้องการใช้ VPN ที่ให้การรองรับ IPv6 คุณต้องค้นคว้าทางออนไลน์ให้แน่ใจก่อนที่จะจ่ายค่าบริการให้แก่พวกเขา
หากคุณไม่แน่ใจว่า VPN ที่กำลังใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นให้การรองรับ IPv6 หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนนี้มีวิธีที่คุณสามารถทดสอบการเชื่อมต่อเพื่อดูว่าที่อยู่ IP ของคุณรั่วไหลหรือไม่ และมีเครื่องมือมากมายที่จัดสรรไว้ให้ทางออนไลน์ ซึ่งใช้ได้ดีในการทดสอบข้อบกพร่องดังกล่าวของ VPN และตอนที่ใช้เครื่องมือทดสอบเหล่านั้น หากคุณสามารถมองเห็นที่อยู่ IP ส่วนตัว หรือ ISP แสดงอยู่เป็นสาธารณะ แสดงว่า VPN ของคุณไม่ได้ให้การปกป้องความเป็นส่วนตัวให้แก่คุณอย่างเต็มที่
เราขอแนะนำให้คุณตรวจสอบให้แน่ใจทุก ๆ ครั้งว่าผู้ให้บริการ VPN ของคุณให้การรองรับ IPv6 หรืออย่างน้อยให้การปกป้องที่อยู่ IP ของคุณจากการรั่วไหล หาก VPN ไม่มีการรองรับ IPv6 คุณสามารถเปลี่ยนไปใช้ VPN เจ้าอื่น หรือเพียงแค่ปิดการทำงาน IPv6 ในหน้าตั้งค่าคอมพิวเตอร์ของคุณ